‘หมอนักพัฒนา’ ผู้สร้างสวนผักแห่งความหวัง ที่มอบชีวิตใหม่ให้ผู้พิการ ภายใต้โครงการรามาธิบดีเพื่อ รพ.ชุมชน

'หมอนักพัฒนา'ผู้สร้างสวนผักแห่งความหวัง ที่มอบชีวิตใหม่ให้ผู้พิการ ภายใต้โครงการรามาธิบดีเพื่อ รพ.ชุมชน

 

เรื่องเล่าของคุณหมอนักพัฒนา ผู้สร้างสวนผักแห่งความหวังที่มอบชีวิตใหม่ให้ผู้พิการภายใต้ “โครงการรามาธิบดีเพื่อโรงพยาบาลชุมชน”

 

สถานะผู้พิการกับโอกาสทางสังคมเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอ เพราะถึงแม้จะมีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์แต่ผู้พิการก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและมีความเป็นมนุษย์ไม่ด้อยไปกว่าคนธรรมดาทั่วไป ในสังคมไทยเราแม้จะมีการสนับสนุนสิทธิของคนพิการในหลายด้าน แต่ในด้านของตลาดแรงงานปัจจุบันพบว่ายังคงมีความเหลื่อมล้ำอยู่ จากข้อมูลสถิติการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการ ประจำปี 2564 ของกองกองทุนและส่งเสริมความเสมอภาคคนพิการ รายงานว่าสถานประกอบการทั่วประเทศยังมีสัดส่วนของผู้พิการที่จะต้องจัดจ้างเป็นแรงงานในระบบอีกกว่า 79,458 คน คิดเป็น 99.59%  เท่ากับว่ายังมีผู้พิการทั่วประเทศจำนวนมากที่ไม่มีอาชีพตามกฏหมาย

 

การถูกจำกัดเรื่องอาชีพถือเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผู้พิการทุกยุคสมัย ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะพิสูจน์ได้ว่ามีความสามารถในการทำงานได้ต่างๆได้เทียบเท่ากับคนธรรมดาก็ตาม แต่เมื่อความไม่สมบูรณ์ของร่างกายกลายเป็นอุปสรรค ‘โอกาสของอาชีพ’ ก็ลดน้อยลง แต่ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่พร้อมต้อนรับพวกเขา ในพื้นที่ชายป่าอันอุดมสมบูรณ์ ขนาด 64 ไร่ รายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ยังมีแปลงผักอินทรีย์ปลอดสารพิษนานาชนิดที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน ชื่อ ‘ศูนย์ค้ำคูณ’ ซ่อนตัวอยู่ โดยสวนแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นหนึ่งใน 23 โรงพยาบาลชุมชน ที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ ให้การช่วยเหลือทุนทรัพย์ในโครงการรามาธิบดีเพื่อโรงพยาบาลชุมชน

 

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และมูลนิธิรามาธิบดีฯ ตระหนักดีว่าคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนนั้น นอกเหนือจากการหายเจ็บป่วยแล้ว การดำรงชีพในชีวิตประจำวันนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อกันที่จะทำให้คนมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ดังนั้น จึงภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือให้ผู้พิการได้มีอาชีพ โดยเฉพาะผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกล ผ่านการสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลชุมชนหมอที่อยากให้คนเข้าโรงพยาบาลน้อยที่สุด

 

 

นายแพทย์อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร  อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุบลรัตน์และผู้ก่อตั้งสวนค้ำคูณ ร่วมกับ แพทย์หญิง ทานทิพย์ ธำรงวรางกูร ภรรยาคู่ชีวิต กล่าวว่า “ศูนย์ค้ำคูณ หมายถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และการพึ่งพาตัวเอง ย้อนกลับไปสมัยที่ผมจบจากรั้วรามาธิบดี ได้สอบบรรจุมาอยู่ที่ รพ.อุบลรัตน์แห่งนี้พร้อมกับภรรยาซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ ผมเริ่มเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่มารักษาเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ก็เริ่มคิดว่าเราจะทำอย่างไรได้บ้างนอกจากการรักษาตามตำราแพทย์ คราวนี้เลยคิดว่าความเจ็บป่วยที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมจริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ป้องกันได้นะ โดยเริ่มต้นที่การเลือกทานอาหารที่ดี อยู่ในที่ที่ดี และทำจิตใจให้ดี พอมีความเครียดน้อยลงโอกาสที่จะเกิดโรคก็น้อยลงไปด้วย เลยช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้คนสุขภาพดีขึ้นเพื่อลดการเข้าโรงพยาบาลและให้ชุมชนพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น เลยเกิดเป็นแนวคิดของการสร้างศูนย์ค้ำคูณขึ้นมา เพื่อให้เป็นต้นแบบของการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล กินผักให้เป็นยา ให้ผู้ป่วยและบุคลากรในโรงพยาบาลได้ทานผักปลอดสารพิษจริง ๆ ให้เป็นโรงเรียนสอนการเกษตรแบบผสมผสานเพื่อผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเรียนได้ และยังเป็นแหล่งสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้ด้อยโอกาสมีรายได้เพิ่มขึ้น”

 

ศูนย์ค้ำคูณแห่งนี้ประกอบไปด้วยเกษตรกรมืออาชีพกว่า 50 คน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนพิการภายใต้    “โครงการจ้างงานคนพิการปลูกผักปลอดสารพิษ” ของโรงพยาบาลอุบลรัตน์ ผักทุกต้นที่เกิดจากความเอาใจใส่ของเหล่าเกษตรกรนักสู้และส่งตรงให้กับโรงครัวของโรงพยาบาลอุบลรัตน์เพื่อให้พ่อครัวแม่ครัวปรุงเป็นอาหารสดใหม่เสิร์ฟให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยได้รับประทานอย่างสุขใจเพราะล้วนเป็นผักปลอดสารพิษทั้งสิ้น สวนแห่งนี้จึงเป็นมากกว่าแปลงผักอินทรีย์แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างโอกาสและรายได้ที่มั่นคงให้แก่ผู้พิการอีกด้วย

 

 

จากวันที่คิดสั้นสู่ชีวิตใหม่ที่ยั่งยืน

 

ตี้-นัฐพล โภชภัณฑ์ ชายหนุ่มวัย 24 ปี ที่เกิดมามีร่างกายสมบูรณ์และเคยใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันในช่วงที่เขากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ส่งผลให้สมองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและร่างกายครึ่งขวากลายเป็นอัมพาต ตี้กลายเป็นผู้พิการตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม้เหตุการณ์จะผ่านมาเกือบสิบปีแต่เขาก็ยังจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ “ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ตายไปแล้วตอนที่ฟื้นขึ้นมา ช่วงแรกนั้นจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หมอเล่าให้ฟังว่าผมสลบไปหลายวันและอาการก็อยู่ในขั้นโคม่า พอฟื้นขึ้นมาได้คนรอบข้างก็พูดว่าเป็นปาฏิหาริย์มาก แต่เชื่อไหมว่าความรู้สึกแรกตอนที่ผมรู้ว่าร่างกายจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปผมกลับอยากตายไปจริง ๆ มากกว่า”

 

เมื่อออกจากโรงพยาบาลตี้ต้องทำกายภาพบำบัด ฝึกเดิน ฝึกพูด ฝึกการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่เขายังไม่คุ้นเคย จนเวลาผ่านไปตี้จึงค่อย ๆ ทำใจยอมรับสถานะใหม่ที่เขาไม่เคยต้องการมาก่อน ด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมทำให้ตี้ไม่ได้เรียนต่อ แต่ครั้นจะอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่อยากรู้สึกเป็นภาระให้กับครอบครัว ตี้จึงเริ่มมองหาอาชีพที่เปิดโอกาสให้ผู้พิการอย่างเขาสามารถทำงานได้เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวอีกทางหนึ่ง

 

 

“ผมพยายามหางานทำอยู่เรื่อย ๆ นะ เพราะไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ พอว่างแล้วมันจะคิดมาก ใครใช้ให้ทำอะไรก็ไปทำหมดที่ทำให้เรามีรายได้มาช่วยที่บ้านบ้าง แต่งานสำหรับคนพิการเป็นสิ่งที่หายากมาก เพราะร่างกายเราไม่ได้สมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เชื่อไหมว่าผมเคยคิดสั้นด้วยนะ เพราะน้อยใจโชคชะตาตัวเอง แต่ไม่รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาตายรึเปล่าเพราะเชือกที่ผูกเอาไว้ดันหลุดออกเลยทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ แต่ผมจะไม่กลับไปคิดสั้นอีกแล้วเพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแค่ร่างกายเราไม่เหมือนเดิมไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีคุณค่า ทุกวันนี้ผมยังใช้ความสามารถของผมหาเงินได้อยู่และยังเลี้ยงดูครอบครัวได้อีกด้วย” ตี้ กล่าว

 

ปัจจุบันตี้ทำหน้าที่ดูแลแปลงผักภายในสวนค้ำคูณมาแล้วเกือบ 2 ปี ทุกวันเขาต้องตื่นเช้าและเดินทางออกจากบ้านมากว่า 20 กิโลเมตร โดยมีน้องชายช่วยขับรถจักรยานยนต์มาส่งที่สวนแห่งนี้ ภายในสวนจะมีการแบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบกันอย่างเป็นระเบียบ ทุกวันตี้จะทำหน้าที่ดูแลตั้งแต่การเตรียมดิน หว่านเมล็ดพันธุ์ รดน้ำใส่ปุ๋ยและเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยแต่ละเดือนตี้จะมีรายได้ประจำที่ทางโรงพยาบาลจ่ายให้เป็นค่าแรงในการดูแลสวนผักเฉลี่ยเดือนละ 9,000 บาท นอกจากนี้ผลผลิตที่ปลูกภายในสวนเขายังสามารถนำกลับไปประกอบอาหารในครอบครัวได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มั่นคง

 

จากวิถีการดำเนินชีวิตแบบปราชญ์ชาวบ้านที่ประสบผลสำเร็จที่ถ่ายทอดเป็นความรู้แก่คนชุมชน เกิดเป็นการพึ่งพาซึ่งกัน ทำให้ชุมชนมีอาชีพ มีรายได้ ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น แนวคิดนี้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ “โครงการรามาธิบดีเพื่อโรงพยาบาลชุมชน” ที่สนับสนุนให้โรงพยาบาลเป็นมากกว่าการรักษาผู้ป่วยแต่ยังร่วมกระจายความช่วยเหลือให้คนในชุมชนมีสุขภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตัวอย่างได้อย่างยั่งยืน เราทุกคนสามารถช่วยสนับสนุนโครงการรามาธิบดีเพื่อโรงพยาบาลชุมชน ได้ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ

 

#คำว่าให้ไม่สิ้นสุด

 

 

 

ขอขอบคุณ  https://www.naewna.com/lady/555242

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *