ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ นำคณะต้อนรับให้กำลังใจคนศรีสะเกษที่เดินทางกลับจากภูเก็ตและพังงา พร้อมขอให้กักตัวเองต่อที่บ้านตามมาตรการเฝ้าระวังและสังเกตอาการโรคโควิด-19
วานนี้ (10 พ.ค. 63) ที่ศาลาลางจังหวัดศรีสะเกษ นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สส.ศรีสะเกษ เขต 1 ได้นำหัวหน้าส่วนราชการร่วมให้การต้อนรับคนศรีสะเกษที่เดินทางกลับจากภูเก็ตและพังงา จำนวน 4 คน เดินทางโดยรถตู้จากภูเก็ต เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2563 ตั้งแต่ช่วงเช้าและแวะรับเพิ่มอีก 2 คนที่พังงา จากนั้นได้แวะเข้าพักที่สระบุรีประมาณเกือบ 4 ทุ่ม รุ่งเช้าจึงได้เดินทางต่อจนมาถึงศรีสะเกษ เวลา 11.00 น.
นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขอต้อนรับชาวศรีสะเกษทั้ง 4 คน กลับคืนสู่บ้านเกิด ช่วงที่ถูกกักตัวทั้งที่ภูเก็ตและพังงาเกือบ 2 เดือน เข้าใจว่าทุกคนค่อนข้างลำบาก แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น เมื่อมาถึงอีสานบ้านเรา จึงขอต้อนรับด้วยอาหารเมนูอีสานชุดปันสุขแก่ทุกคน ขณะที่พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษได้ปลอดผู้ติดเชื้อโควิด 19 เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ขอผู้ที่เดินทางมาทั้งหมดในครั้งนี้ จึงต้องกักตัวเองต่อที่บ้านตามมาตรการอีก 14 วัน เพื่อเฝ้าระวัง และสังเกตอาการโรคโควิด 19 ต่อ
โอกาสนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สส.ศรีสะเกษ เขต 1 ได้มอบถุงยังชีพให้กับทุกคนด้วย และช่วงกักตัวที่บ้านต่อ จะมีเจ้าหน้าที่ปกครอง และสาธารณสุขเฝ้าติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
ด้านนางสาวมลธิชา บุญกอง ชาวตำบลโพนยาง อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ หนึ่งในผู้ที่เดินทางกลับจากภูเก็ต กล่าวว่า ตนเองรู้สึกดีใจมาก เพราะพึ่งเดินทางไปทำงานได้เพียงอาทิตย์เดียว เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถูกกักตัวร่วม 2 เดือนถือว่าใช้ชีวิตลำบากมาก ต้องขอบคุณจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือตลอดการเดินทางจนได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย โดยตอนแรกคิดคงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ ต้องรอไปอีกนาน
อีกคนคือนายธงชัย ดวงคำ ชาวตำบลหนองหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า ตนเองมีลักษณะขาพิการ แต่ไปทำงานที่โรงแรมในพังงา ช่วงถูกกักตัว 2 เดือน ถือว่าลำบากมาก ขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย ไม่มีญาติพี่น้องที่รู้จักเลย ต้องขอบคุณจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือแม้จะอยู่ห่างกันคนละจังหวัด แต่ก็ได้ติดต่อเพื่อเดินทางไปรับ จนได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย รู้สึกดีใจมากๆ
ขอขอบคุณ http://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG200510155016092