นาราบริจาคสมาคมคนพิการ 1 แสน ด่านักข่าวจิ้มไมค์หนูรัตน์ แต่นักข่าวสู้กลับแนะรู้ผิดชอบชั่วดี

นารา เครปกะเทย บริจาคเงิน 1 แสน สมาคมคนพิการสระบุรี สยบข้อหาบูลลี่คนพิการ ด่านักข่าวตามไปสัมภาษณ์หนูรัตน์ถึงบ้าน ไร้จรรยาบรรณ บอกแล้วว่าไม่ให้ สัมภาษณ์ไปหนูรัตน์ก็พูดไม่รู้เรื่อง เจอนักข่าวสู้กลับ ด่าบิดเบือนทำไม ไม่เคยพูดว่านาราให้ค่าตัวน้อยเกินไป และวอนอย่าดูถูกหนูรัตน์ เจอตัวจริงโต้ตอบได้ทุกคำถาม แนะนาราควรมีจิตสำนึก รู้ผิดชอบชั่วดีเสียก่อน

รายงานข่าวแจ้งว่า เฟซบุ๊ก “นารา เครปกะเทย” ของนายอนิวัต ประทุมถิ่น เน็ตไอดอลชื่อดัง ที่กำลังเป็นข่าวเกี่ยวกับโฆษณาลาซาด้า ได้ยืนอยู่ที่หน้าสมาคมคนพิการจังหวัดสระบุรีพร้อมคณะ ถือป้ายระบุว่า “บริษัท นารา เครปกะเทย ขอมอบให้กับสมาคมคนพิการจังหวัดสระบุรี จำนวนเงิน 100,000 บาท” เมื่อวันที่ 6 พ.ค. โดยระบุข้อความว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือคนมองว่านาราล้อเลียนหรือบูลลี่คนพิการในคลิปที่นาราแสดงออกไป ย้ำในคลิปเท่านั้น สิ่งเดียวที่นาราขอพูดจากใจนารา ว่านาราไม่มีเจตนาล้อเลียนหรือบูลลี่คนพิการทั้งสิ้น

และวันนี้สิ่งที่นาราจะขอโทษและรับผิดชอบคือกลุ่มคนพิการที่ถูกพูดถึง นาราขอใช้น้ำใจและความจริงใจของนาราเพื่อมอบความบริสุทธิ์ใจว่านาราไม่มีเจตนาหรือความตั้งใจล้อเลียนหรือบูลลี่ในแบบที่คนอื่นพูด นาราขอมอบความบริสุทธิ์ใจให้กับกลุ่มคนพิการ 100,000 บาท ให้กับที่นี่ที่แรก และวันนี้สิ่งที่นาราทำคนมองว่าไม่ถูกต้อง นาราจะเก็บประสบการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียนในชีวิตและการเสนอคอนเทนต์ในครั้งต่อไป

ก่อนหน้านี้ นาราได้ไลฟ์ชี้แจงกรณีโฆษณาแคมเปญลดราคาของลาซาด้าที่มีปัญหา โดยระบุว่า ตนไม่ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตั้งใจที่อยากจะทำภาพนี้อยู่แล้ว จะได้ไม่โกหกว่าไม่มีเจตนา แต่ไม่ได้บอกว่าหนูรัตน์แต่งเป็นใคร หม่อมดิวแต่งเป็นใคร ทุกคนสามารถใส่ชุดไทยได้ และคนที่ใส่ชุดไทยนั่งวีลแชร์ก็มีเป็นพันคนบนโลกนี้ อีกทั้งชุดไทยเป็นสิ่งที่ไม่ได้ห้ามให้ใครใส่ เราใส่ชุดไทยเพราะความสวยงาม บุคลิกที่ทำไป ตัวละครมีมากมายบนโลกทีวีที่มีหญิงเล็ก และคนที่เล่นเป็นคนพิการ

นาราเห็นว่าคนในโซเชียลโยงเองว่าเป็นคนนั้นคนนี้ มีสิทธิอะไรมาด่าตน ผิดหวังในตัวของตนเพราะคิดไปเองว่าคนนั้นคือใคร เห็นว่าคนเกิดมากัดลิ้น เกิดมานั่งวีลแชร์ หรือใส่ชุดไทยนั่งวีลแชร์ก็ไม่ได้มีคนเดียวบนโลก แต่เป็นสิ่งที่คิดกันไปเอง นาราให้หนูรัตน์เป็นใครก็ยังไม่ได้ระบุเลย ฝากถึงสลิ่ม หรือคนที่มีแนวคิดการเมืองสนับสนุนรัฐบาล ว่าดูแลตัวเองให้ดีก่อนไปห่วงคนอื่น ส่วนคลิปโฆษณาเอเยนซีโทร.มาหาให้ซ่อนคลิป โดยตนรับงานมา 35,000 บาท ไม่ได้ตั้งใจรับงานแต่เขาอยากให้ทำ

ในตอนท้าย นารากล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่ได้ศรัทธาอะไรในประเทศไทยอยู่แล้ว และที่บางคนบอกว่าทำอะไรรู้อยู่แก่ใจ ยืนยันว่าใช่ อยากทำแรงกว่านั้นด้วย แต่ก็กลัวโดนจับเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนรู้ว่านาราอยากจะสื่อถึงอะไร

อีกด้านหนึ่ง รายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ได้สัมภาษณ์ น.ส.ธิดาพร ชาวคูเวียง หรือหนูรัตน์ ระบุว่า ได้รับการว่างจ้างจากนาราให้ถ่ายโฆษณาเซรัม คิดว่าเป็นการรับจ้างงานโปรโมตสินค้าทั่วไป พอมาถึงสตูดิโอแห่งหนึ่ง คอสตูมให้เปลี่ยนชุดและถ่ายคลิปโฆษณาเซรัมเสร็จ 1 คลิป จากนั้นบอกว่าจะมีการถ่ายงานอีกคลิป เป็นละครสั้นเรื่องบ้านทรายทอง โดยสวมบทบาทเป็นนางเอกผู้พิการ หนูรัตน์ก็เปลี่ยนชุดตามภาพที่ปรากฏในเคมเปญลาซาด้า โดยไม่ทราบว่าการแต่งกายดังกล่าวเป็นการหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่ สำหรับการถ่ายงาน 2 คลิปนี้ ได้รับเงินค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 5,000 บาทเท่านั้น

หลังเกิดกระแสดราม่า หนูรัตน์สารภาพว่า นาราได้ติดต่อกลับมา พร้อมกำชับให้ตนอยู่เฉยๆ เดี๋ยวนาราจะเคลียร์ปัญหาทุกอย่างเอง หนูรัตน์ฝากขอความเห็นใจ อยากให้สังคมให้ความเป็นธรรม และให้อภัยตนเอง รวมทั้งครอบครัวด้วย เพราะตนมีความบกพร่องทางการได้ยิน ที่ผ่านมาหนูรัตน์ยืนยันว่าไม่ได้เจตนาหมิ่นเบื้องสูง หรือล้อเลียนผู้พิการ เพียงแต่รับงานแสดงในฐานะนักแสดงคนหนึ่งที่ได้รับการว่าจ้างเท่านั้น

ปรากฏว่า นารา เครปกะเทย ได้ตำหนิผู้สื่อข่าวว่า เสียมารยาทที่ไปบุกบ้านหนูรัตน์ เพราะตนก็เห็นใจหนูรัตน์ด้วย ถ้าคนไม่ออกมาบอกว่านาราบูลลี่คนพิการ ก็จะเฉยเงียบไปเลยเรื่องนี้ ซึ่งนายพัลลภ ผู้จัดการส่วนตัวของหนูรัตน์ โทร.มาหานารา ตนก็บอกว่าหนูรัตน์ไม่ต้องให้สัมภาษณ์ เพราะเขาเอากระแสจากเราไป เรารู้อยู่แล้วว่าทำผิดทำถูกเรื่องไหน เรื่องนี้หนูรัตน์ไม่ผิด คนที่ผิดคือนารา ตนจ้างหนูรัตน์ 5,000 บาทจริง ให้ค่าน้ำมันรถอีก 2,000 บาท ไม่แคร์ที่นักข่าวจะพูดว่าให้ค่าตัวน้อยเกินไป แต่นักข่าวไปหาหนูรัตน์ถึงบ้าน ทั้งที่บอกแล้วว่าหนูรัตน์ไม่ให้สัมภาษณ์ สัมภาษณ์ไปหนูรัตน์ก็พูดไม่รู้เรื่อง อีกอย่างเราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ช่วยกันปิดข่าว แต่ไม่อยากให้นักข่าวมาทำกระแส สุดท้ายแล้วนักข่าวคนนี้ไม่มีจรรยาบรรณ

ทำให้นายธราวุฒิ ฤทธิอักษร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ก่อนหน้านี้ติดต่อไปยังนายพัลลภ พูดคุยถึงเจตนาทั้งหมดแล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าติดต่อหนูรัตน์ไม่ได้ในทุกช่องทาง หากติดต่อได้จะบอกให้และติดต่อกลับในภายหลัง แต่เมื่อไม่ได้รับการติดต่อมา จึงโทร.หานายพัลลภอีกครั้ง ก็ยังยืนยันว่าติดต่อหนูรัตน์ไม่ได้ แต่น่าจะอยู่ที่บ้านในจังหวัดสระบุรี จึงตัดสินใจลงพื้นที่เพื่อหาข้อเท็จจริง เชื่อว่าหนูรัตน์คงพูดความจริงกับเรา เมื่อไปถึงพบพ่อและแม่ของหนูรัตน์ ทั้งสองบอกว่าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไปทำงานกับนายพัลลภที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อหนูรัตน์ฟังก็ตกใจ และรีบโทร.หาหนูรัตน์ในทันทีด้วยความเป็นห่วง จากนั้นจึงยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับหนูรัตน์ เป็นไปตามคลิปข่าวที่ปรากฏไปก่อนหน้านี้

Xส่วนที่นารา เครปกะเทย กล่าวว่าไม่ได้แคร์ที่นักข่าวจะพูดว่านาราให้ค่าตัวหนูรัตน์น้อยเกินไปนั้น ยืนยันว่าในการรายงานข่าว ไม่ได้พูดว่านาราให้ค่าตัวหนูรัตน์น้อยเกินไป ไปหาคลิปย้อนหลังฟังหรืออ่านได้ ถามกลับว่านาราบิดเบือน โกหก ใส่ร้ายทำไม และที่นารากล่าวว่าจะไปสัมภาษณ์หนูรัตน์ทำไม หนูรัตน์พูดไม่รู้เรื่อง วอนอย่าดูถูกหนูรัตน์ว่าเขาพูดไม่รู้เรื่อง เพราะจากที่พูดคุย หนูรัตน์สามารถโต้ตอบกับเราได้ทุกคำถาม และไล่เรียงเรื่องราวทั้งหมดได้ครบสมบูรณ์ หนูรัตน์ฉลาดมาก และที่กล่าวว่า นักข่าวคนนี้ไม่มีจรรยาบรรณอะไรเลย ฝากไปถึงนาราว่า นักข่าวหรือผู้สื่อข่าวต้องรายงานข่าวตามข้อเท็จจริง ดังนั้นเป้าหมายในการทำข่าวของเรา คือการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ตรงกับความจริงมากที่สุด ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องคำนึงถึงประโยชน์ของสาธารณะเป็นสำคัญ

“ข่าวที่นำเสนอจะต้องเสนอเฉพาะข้อเท็จจริง มีความเที่ยงธรรม สมดุล ในกรณีที่เกิดการขัดแย้งเกิดขึ้น ต้องให้โอกาสในการชี้แจง อีกทั้งแสดงข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่าย ไม่ว่านักข่าวจะเห็นพ้องกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ก็ตาม เพราะนักข่าวหรือผู้สื่อข่าวต้องนำเสนอความจริงเท่านั้น ไม่ใช่ความเป็นกลาง และที่คุณด่าเราว่า ไม่มีจรรยาบรรณ นั้น คุณควรมีจิตสำนึก และรู้ผิดชอบชั่วดีให้ได้เสียก่อน” นายธราวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับผู้พิการที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถใช้โทรสายด่วน 1479 คนพิการประชารัฐ ที่ให้บริการตลอด 24 ชม. หรือรายละเอียดที่ www.1479hotline.org เพื่อเป็นการช่วยเหลือคนพิการที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถช่วยบริจาคเงินได้ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางละมุง ชื่อบัญชี มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เลขที่บัญชี : 342-3-04066-0 นำใบเสร็จสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โทร. 0-2572-4042 ต่อ 8106

ขอบคุณจาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000043329

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *